มาแอ่วเมืองแป้

เมืองแพร่ เป็นเมืองเก่าเมืองหนึ่งในภาคเหนือของประเทศไทย
ประวัติการสร้างเมือง
ไม่มีจารึกในที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะการศึกษาเรื่องราวของเมืองแพร่จึงต้องอาศัยหลักฐาน
ของเมืองอื่น เช่น พงศาวดารโยนก ตำนานเมืองเหนือ ตำนาน การสร้างพระธาตุลำปางหลวง
และศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นต้นตำนานพระธาตุช่อแฮกล่าวว่า
เมืองแพร่มีมาตั้งแต่ สมัยพุทธกาล ตำนานวัดหลวงกล่าวไว้ว่าประมาณ พ.ศ. 1371 พ่อขุนหลวงพล
ราชนัดดาแห่งกษัตริย์น่านเจ้าได้อพยพคนไทย ( ไทยลื้อ ไทยเขิน)
ส่วนหนึ่งจากเมืองเชียงแสน ไชยบุรี และเวียงพางคำลงมาสร้างเมืองบนที่ราบริมฝังแม่น้ำยม
ขนานนามว่า เมืองพลนคร (เมืองแพร่ปัจจุบัน) ตำนานสิงหนวัติกล่าวว่าเมืองแพร่เป็นเมือง
ที่ปกครองโดยพญายี่บาแห่งแคว้นหริภุญไชยสันนิษฐานว่าเมืองแพร่และเมืองลำพูนเป็นเมือง
ที่สร้างขึ้นมาในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักศิลาจารึก พ่อขุนราม
คำแหง มหาราชหลักที่ 1 ด้านที่ 4 บรรทัดที่
24 - 25 ซึ่งจารึกไว้ว่า . “.. เบื้องตีนนอน
รอดเมืองแพร่ เมืองน่าน เมือง … เมืองพลัวพ้นฝั่งของ
เมืองชวา เป็นที่แล้ว …” ในข้อความนี้ เมืองแพล คือ
เมืองแพร่ ศิลาจารึกนี้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 1826 จึงเป็น
สิ่งที่ยืนยันถึง ความเก่าแก่ ของเมืองแพร่
ว่าตั้งขึ้นมาก่อนเมืองเชียงใหม่และเชื่อว่าเมืองแพร่ได้ก่อตั้งขึ้นแล้วก่อนการตั้งกรุงสุโขทัยเป็น
ราชธานี ชื่อเดิมของเมืองแพร่
การก่อตั้งชุมชนหรือบ้านเมืองส่วนใหญ่ในภาคเหนือมักปรากฎ
ชื่อบ้านเมืองนั้นในตำนาน เรื่องเล่า หรือจารึกตลอดจนหลักฐานเอกสารพื้นเมืองของเมืองนั้น
ๆ แต่สำหรับเมืองแพร่นั้น แตกต่างออกไปเนื่องจากไม่มีหลักฐาน ที่เกี่ยวข้อง
โดยตรงจึงมีที่มาของ ชื่อเมืองจากหลักฐานอื่นดังนี้ เมืองพล นครพลหรือพลรัฐนคร
เป็นชื่อเก่าแก่ดั้งเดิมที่สุดที่พบ
|
ในตำนานเมืองเหนือ ฉบับใบลาน พ.ศ. 1824 กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
เจ้าเมืองลำปางได้ส่งคน มาติดต่อเจ้านครพล ให้ไปร่วมงานนมัสการ
และฉลองวัดพระธาตุลำปางหลวง และจากตำนาน
พระธาตุลำปางหลวงตอนหนึ่งได้กล่าวถึงเจ้าเมืองพลยกกำลังผู้คนไปขุดหาพระบรมสารีริกธาตุ
บรรจุไว้ในพระธาตุ แต่ไม่พบ เมื่อศึกษาตำแหน่งที่ตั้งของนครพลตามตำนานดังกล่าว
พบว่าคนเมืองแพร่ปัจจุบัน ชื่อพลนครปรากฎเป็นชื่อวิหารในวัดหลวง ตำบลในเวียง
อำเภอเมืองแพร่ โดยเชื่อว่าวัดนี้เป็นวัด
ที่สร้างมาพร้อมกับการสร้างเมืองแพร่และเจ้าเมืองแพร่ให้ความอุปถัมภ์มา
ตลอดจนหมดยุค การปกครองโดยเจ้าเมืองเมืองโกศัย
เป็นชื่อที่ปรากฎในพงศาวดารเมืองเงิน ยางเชียงแสน ชื่อนี้ใช้เรียกเมืองแพร่
ในสมัยขอมเรืองอำนาจที่ชื่อเมืองในอาณาจักร
ล้านนาเปลี่ยนเป็นภาษาบาลีตามความในยุคนั้น เช่น น่านเป็นนันทบุรี
ลำพูนเป็นหริภุญไชย ลำปางเป็นเขลาค์นคร เป็นต้น
|
ชื่อ เวียงโกศัย น่าจะมาจากชื่อดอยที่เป็นที่ตั้งขององค์พระธาตุช่อแฮ
ซึ่งเป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองแพร่ คือ ดอยโกสิยธชัคบรรพต หมายถึง
ดอยแห่งผ้าแพร เมืองแพล เป็นชื่อที่ปรากฎ
ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชหลักที่ 1 ด้านที่ 4
โดยคำว่า แพล น่าจะมาจากศรัทธาของ ชาวเมืองที่มีต่อพระธาตุช่อแพร
หรือช่อแฮที่สร้างขึ้น ภายหลังการสร้างเมืองต่อมาจึงได้เรียกชื่อ เมืองของตนว่า
เมืองแพล และได้กลายเสียงเป็นเมืองแพร่ปัจจุบัน
|
ตราประจำจังหวัดแพร่เป็นรูปม้ายืน และโบราณสถาน ที่สำคัญของจังหวัดแพร่ ก็คือ พระธาตุช่อแฮประกอบอยู่บนหลังม้า |
ชื่อสามัญ
|
Almond-wood,
Chickrassy Chittagong-wood
|
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Chukrasia
velutina Roem.
|
|
วงศ์
|
MELIACEAE
|
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
ผลัดใบแต่ผลิใบใหม่เร็วเรือนยอดเป็นพุ่มรูปกรวยต่ำ
เปลือกสีน้ำตาลคล้ำสีเทาหรือเทาปนดำแตกเป็นร่องลึกตามยาวของลำต้น
ใบเป็นใบประกอบออกเยื้องกันเล็กน้อย แผ่นใบรูปดาบ
ท้องใบมีขนนุ่ม หลังใบเกลี้ยง ดอกขนาดเล็ก สีเขียวแกมเหลือง ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ออกดอกระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์
|
|
การขยายพันธุ์
|
โดยการเพาะเมล็ด
|
|
สภาพที่เหมาะสม
|
เป็นไม้กลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินทุกชนิด
ต้องการน้ำและความชุ่มชื้นปานกลาง
|
|
ถิ่นกำเนิด
|
ป่าเบญจพรรณแล้งและชื้นทั่วไป
|
" เพลงเวียงโกศัย "
เมืองแพร่สวรรค์ของลานนาไทย ชื่อเวียงโกศัยแต่ครั้งโบราณกาลก่อน สวยเอยงามแท้เมืองแพร่นคร สมดั่งเป็นเมืองอมร ถิ่นสถานตํานานพระลอ เย็นฉํ่าด้วยสายนํ้ายมไหลมา จากแนวเนินผา พืชพรรณธัญญาชูช่อ แสนเพลินซ่านซึ้งเพลงซึงเสียงซอ เอื้องดอยเจ้างามละออ แกว่งช่อใบไหวเอน เล่นลม โกศัยราตรีมีมนต์ขลัง คืนนี้เราเคยนั่ง ชื่นเชยยอดชู้คู่ชม หวานลํ้าจํานรรจ์ ช่างเสกสรรถ้อยคําคารม ปานประหนึ่งนํ้าผึ้งผสม เคล้าสายลมแสงเดือนเพื่อนใจ ยามจากไปแล้วมิแคล้วคํานึง ด้วยความคิดถึงซาบซึ้งมิมีลืมได เหมือนดังต้องมนต์เข้าดลฤทัย ฝังจําติดตรึงหัวใจ เวียงโกศัยฉันไม่เคยลืม |